Home
About
Blog
Contact
Home
About
Blog
Contact
Category
Knowledge
12
Feb
เปิดประวัติที่มาของวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักเกิดมาได้อย่างไร
February 12, 2020
Narakorn Pradubtong
Blog
,
Knowledge
ใกล้เข้าสู่เทศกาล วันวาเลนไทน์ ทั้งที งานนี้คุณมีของที่จะเอาไปให้คนที่คุณรักแล้วหรือยัง สำหรับใครที่มีคู่หรือกำลังเริ่มต้นชีวิตความรักที่หอมหวาน เราขอแสดงความยินดีกับคู่ของพวกคุณด้วย เนื่องจากใกล้เข้าสู่วันวาเลนไทน์แล้ว แต่สำหรับใครคนไหนที่ยังไม่มีคู่และไม่รู้จะทำอะไร เราก็ได้นำประวัติของที่มาวันวาเลนไทน์มาฝากกับท่านผู้ชมกันครับ โดยทั้งนี้หลายคนอาจจะเคยรู้กันมาบ้างแล้ว อย่างไรก็ตามเราก็ได้นำเอาประวัติย่อโดยสังเขปมาให้คุณได้นำกลับมาอ่านเพื่อความบันเทิงกันอีกครั้ง เทศกาลวันวาเลนไทน์ หรือที่เราเรียกกันว่า Valentine’s Day ในตอนแรกยังไม่ถูกจัดตั้งให้เป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เนื่องจากเทศกาลนี้ถือเป็นสิ่งต้องห้ามในยุคจักรพรรดิโรมัน โดยในสมัยนั้นยังเป็นยุคสมัยที่ปกครองโดย จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 แห่งกรุงโรม ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นยุคสมัยแห่งสงครามและการชิงอำนาจ พลหทารถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นกำลังพลไปสู่รบ แต่ทว่าแล้วจักรพรรดิคลอดิอัสกลับเห็นว่า ในกรุงโรมไม่มีใครสนใจที่จะสมัครเข้าเป็นทหาร เนื่องด้วยจากพวกเขาไม่อยากไปรบ เพราะจะต้องจากคนที่รักไปนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงออกคำสั่งห้ามไม่ให้ใครจัดพิธีหมั้นหรือแต่งงานโดยเด็ดขาด เพื่อที่จะให้ชายชาตรีทุกคนสนใจมาเกณฑ์ทหาร สร้างความเดือดร้อนและเสียใจต่อเหล่าประชาชนอย่างมาก แต่ในเรื่องร้ายก็ยังคงมีเรื่องดีอยู่บ้าง เมื่อนักบุญคนหนึ่งชื่อ เซนต์ หลุยส์ วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส เล็งเห็นว่าเรื่องที่กษัตริย์ออกคำสั่งเช่นนี้เป็นเรื่องที่ผิดหลักศีลธรรมมนุษย์ เขาจึงเริ่มหาทางแอบจัดพิธีแต่งงานกับคู่รักที่อยากแต่งในโบสถ์ของเขา โดยร่วมมือกับเซนต์มาริอัส ในการช่วยจัดพิธี พวกเขาจัดพิธีแต่งงานไปมากกว่า 100 คู่ จนในที่สุด เขาก็ถูกจับได้ในเวลาต่อมาและถูกคุมขังเอาไว้เพื่อรอวันประหาร เซนต์ วาเลนไทน์ ถูกจองจำอยู่ในคุกเพื่อรอวันตาย แต่ในขณะนั้นเขาก็กลับไปตกหลุมรักกับหญิงสาวซึ่งเป็นลูกผู้คุมขังชื่อว่า จูเลีย เข้า ทำให้ทั้งสองได้รู้จักและรักกัน...
Read More
23
Jan
รวม 5 ความหมายของขนมที่ใช้ไหว้ในวันตรุษจีน
January 23, 2020
Narakorn Pradubtong
Blog
,
Knowledge
ใกล้เข้าสู่ วันตรุษจีน หลายคนก็คงจะตื่นเต้นที่จะได้รวมญาติพี่น้องและทานอาหารร่วมกัน หรือไม่ก็จับมือกันกับแฟนไปไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดจีนต่างๆของไทย ซึ่งในแต่ละครั้งที่เราไปเที่ยวหรือพบเจอญาติพี่น้อง เราก็คงจะหนีไม่พ้นขนมในการไหว้สักการะบรรพบุรุษหรือองค์เทพเจ้าต่างๆมากมาย โดยขนมเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เอาไว้ไหว้บูชาองค์เทพของจีน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อกวนอู เพื่อเป็นโชคลาภและสิริมงคลตามความเชื่อของจีนมาช้านาน แต่หลายคนรู้บ้างหรือไม่ว่า ขนมต่างๆเหล่านี้นั้น มีความหมายในการไหว้สักการะอย่างไรบ้าง และเสริมโชคลาภอย่างไรบ้าง วันนี้เราไปชมกันครับ 1. ขนมเทียน ขนมเทียน เป็นขนมคู่บ้านคู่เมืองของเรามาแต่อดีต แต่รากเหง้าของมันมาจากจีน ก่อนจะเผยแพร่อิทธิพลมายังไทย การไหว้ขนมเทียน มีความหมายนัยยะถึงความหวานชื่นและการมีชีวิตที่ราบรื่น เพื่อทำให้การทำงานหรือทำอะไรสักอย่าง ราบรื่นไปโดยปริยาย 2. ขนมถ้วยฟู ขนมถ้วยฟู เป็นขนมแป้งนุ่มที่หอมนุ่มละมุนลิ้นมากๆ แต่กินมากไม่ได้ จะคอแห้งหิวน้ำซะก่อน การที่เราไหว้ขนมฟูนี้ ความหมายนัยยะก็คือการเสริมสิริมงคลในเรื่องของความเฟื่องฟู เจริญรุ่งเรือง ดั่งเช่นขนมที่มีชื่อว่าถ้วยฟูนั่นเอง 3. ซาลาเปา หลายคนคงจะคุ้นเคยกับขนมซาลาเปาเป็นอย่างดี เพราะเป็นขนมที่หอมนุ่มและมีไส้ที่อร่อย แต่คุณรู้หรือไม่ว่าซาลาเปาหรือหมั่นโถวดังกล่าวนั้น สามารถใช้สำหรับไหว้เจ้า ซึ่งคำว่าซาลาเปามีรากศัพท์มาจากคำว่า เปาไช้ หรือ หรือความหมายแปลว่าห่อโชค ให้โชค นั่นเอง 4. ขนมเข่ง ขนมเข่ง เป็นขนมสไตล์ไทยผสมจีนได้อย่างลงตัว และมีรสชาติหวานไม่โดด อร่อยมากๆ ความหมายของการไหว้ขนมเข่ง ก็คือจะทำให้ชีวิตหวานชื่น...
Read More
18
Oct
ทำความรู้จักกับหมู่บ้านชิราคาวาโกะ หมู่บ้านแห่งมรดกโลก
October 18, 2019
Narakorn Pradubtong
Blog
,
Knowledge
สำหรับใครที่ต้องการจะหาที่เที่ยวสงบๆในราคางบประมาณ 15000+ ก็ต้องวางแผนกันหน่อย แต่กลับไม่ใช่สำหรับ หมู่บ้าน “ชิราคาวาโกะ” หมู่บ้านที่เรียกได้ว่าติดอันดับสถานที่ที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ทั้งนี้หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้จักหมู่บ้านอันสวยงามแห่งนี้ และยังไม่รู้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร วันนี้เราจะมาบอกเล่าถึงเรื่องราวและที่มาของ หมู่บ้านชิราคาวาโกะกันครับ หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) จัดเป็นมรดกโลกอันล้ำค่าและเก่ามากในญี่ปุ่น ถือว่าเป็นสถานที่ล้ำค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมากและเป็นที่น่าจับตามองของนักท่องเที่ยวมากๆด้วย โดยสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนหลั่งใหลกันเข้ามาเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งนี้ก็เพราะมันมีบรรยายกาศที่แสนสดชื่นและสบายนั่นเอง หมู่บ้านแห่งนี้เดิมทีเป็นหมู่บ้านของชนชั้นชาวนาที่อาศัยอยู่แหล่งแม่น้ำโชกาวะ ซึ่งพืชไร่จะอุดมสมบูรณ์และเขียวขจีมากๆในช่วงหน้าอากาศแจ่มใส หมู่บ้านชิราคาวาโกะ เป็นหมู่บ้านที่อยู่เขตจังหวัดกิฟูและโทยาม่า มีอายุยาวนานกว่า 300 ปี และมีสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่ดูสวยงาม คลาสสิก และมีสไตล์ความเป็นญี่ปุ่นสูง จนทำให้ได้รับจารึกว่าเป็นสถานที่มรดกโลกและในญี่ปุ่นไปโดยปริยาย มาเที่ยวอย่างไร โดยส่วนใหญ่แล้ว นักท่องเที่ยวมักจะเริ่มต้นเส้นทางตั้งแต่ ทาคายาม่า เป็นหลัก เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากจังหวัดทาคายาม่าเท่าไหร่นัก ทำให้ผู้คนมักจะมาเริ่มต้นที่จุดนี้ก่อนอยู่เสมอ แต่สำหรับใครที่ไม่สะดวกมาต่อที่ทาคายาม่า ก็สามารถเริ่มต้นที่จังหวัดนาโกย่าได้เลย มีบริการรถทัวน์และรถบัสไปยังหมู่บ้านได้ง่ายๆสบายๆครับ หรือถ้าใครเริ่มต้นจากโตเกียวหรือโอซาก้าก็ต้องอดทนหน่อย เพราะจะต้องนั่งรถไฟต่อมาลงที่ทาคายาม่าอยู่ดี พักที่นี่ได้มั๊ย คำตอบคือไม่ได้โดยตรง แต่สามารถพักบริเวณแหล่งใกล้เคียงได้ ซึ่งหลักๆก็จะมี Kanja Guesthouse เก็สเฮาส์ของหมู่บ้านที่อยู่ติดกับบ้านชิราคาวาโกะเลย ซึ่งราคาก็ตกคืนละ 2000-3000 บาท ครับ ควรมาช่วงไหนดีที่สุด หมู่บ้านชิราคาวาโกะ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวได้ตลอดปี ซึ่งก็จะมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป แต่หลักๆที่คนมาเที่ยวเยอะที่สุดก็คือ ช่วงหน้าหิมะและช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี...
Read More
08
Sep
5 เรื่องข้อดีข้อเสีย การไปเที่ยวญี่ปุ่นฉบับคนรู้ภาษาและไม่รู้ภาษา
September 8, 2019
Narakorn Pradubtong
Blog
,
Knowledge
ในปัจจุบัน การท่องเที่ยวต่างประเทศได้มีการเปิดกว้างและอำนวยความสะดวกขึ้นอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่แค่ในแถบเอเชียเพียงเท่านั้น แม้กระทั่งยุโรปก็เริ่มมีกระแสแนวโน้วกว้างเปิดเสรีการเข้าถึงได้แล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการตามโลกให้เท่าทันยุคสมัย หากใครที่ต้องการจะไปท่องเที่ยวอย่างว่า ก็มักจะถูกแบ่งแยกออกเป็นสองประเภทหลักๆ นั่นก็คือ ประเภทรู้ภาษากับประเภทไม่รู้ภาษา ซึ่งทั้งนี้แล้วหากคุณคนไหนที่เคยไปเที่ยวต่างประเทศจะเข้าใจประสบการณ์ดีว่าข้อดีข้อเสียของภาษานั้น มีความสำคัญอย่างไร วันนี้เราจะไปเจาะลึกกันครับว่ามีอะไรบ้าง 1.กลมกลืนกับคนท้องถิ่น หากคุณเคยลองไปเที่ยวภาคเหนือง่ายๆกับเพื่อนๆดู คุณคงจะเคยสังเกตุได้ว่า ถ้าเราต้องการจะโดยสารรถประจำทางแล้วเกิดใครพูดภาษาเหนือได้ เราจะสามารถต่อรองในราคาที่ถูกลงอย่างมาก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงอย่างที่เขาเล่าลือกัน แม้กระทั่งในต่างประเทศเองถ้าเกิดเขารู้ว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยวแล้วไม่รู้ภาษาถิ่นเขาก็มีสิทธิ์ที่เขาจะเอาเปรียบหรือหาลู่ทางหลอกเราไม่ทางใดทางหนึ่งเอาได้ เพราะฉะนั้น การที่คุณมีภาษาเอาไว้ป้องกันตัวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรมีอย่างยิ่ง 2. สั่งอาหารได้ง่ายๆ การสั่งอาหารนับเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราต้องทำให้ได้ ไม่อย่างนั้นคงได้อดตายหรือไปฝากท้องในร้านสะดวกซื้อเป็นแน่นอน โดยถ้าคุณสามารถเจรจาหรือสั่งอาหารในร้านได้ล่ะก็ คุณก็สามารถสอบถามหรือได้รู้จักอาหารชั้นดีที่คุณไม่เลยลองมาก่อนก็ได้ ดีกว่าคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วจบลงที่อาหารธรรมดาที่สุดแสนจะน่าเบื่อ 3. สอบถามทางได้อย่างสบายใจ ประเด็นการหลงทาง ถือเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเจอ ซึ่งถ้าคุณไม่รู้ภาษาในการสอบถามหรือพูดคุยได้ล่ะก็ มีหวังได้หลงทางทั้งคืนแน่ๆ และอย่างคิดนะว่าในแต่ละประเทศประชากรจะเก่งภาษาอังกฤษเสมอไป ยิ่งการให้ความช่วยเหลือก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉะนั้นแล้วถ้าคุณมีภาษาก็ควรใช้มันให้เป็นประโยชน์และเดินไปสอบถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นจะดีกว่า 4. ต่อราคาให้ถูกลงได้ ใครจะรู้ การต่อราคาก็เป็นความสนุกหรรษาอีกรูปแบบหนึ่งที่กลุ่มชนนักท่องเที่ยวต้องไปสัมผัสกัน และถ้าคุณสามารถใช้ภาษาถิ่นอ้อนวอนเขาได้ล่ะก็ คุณอาจจะได้ของราคาย่อมเยาว์และมีคุณภาพกว่าในห้างได้เลย ใครจะรู้ ดีกว่าต้องไปเสียเงินราคาเต็มโดยใช่เหตุเพราะไม่มีภาษา 5. หากเกิดเหตุการณ์ Accsident จะได้แก้ปัญหาได้ แน่นอนว่าการไปเที่ยวต่างประเทศ เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าคุณดันเกิดป่วยหรือประสบอุบัติเหตุจนต้องการความช่วยเหลือก็ควรที่จะมีภาษาติดตัวเอาไว้ จะช่วยทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นทั้งตัวคุณและผู้ที่ช่วยเหลือคุณได้นั่นเอง
Read More
11
Aug
5 เรื่องน่ารู้ความแตกต่างระหว่างการจราจรของประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น
August 11, 2019
Narakorn Pradubtong
Blog
,
Knowledge
ประเทศญี่ปุ่นนับเป็นประเทศที่มีการพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดอย่างมากและเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านระเบียบวินัยสูงที่สุดติดอันดับโลก แม้ว่าการผลิต การขนส่ง หรือแม้กระทั่งการจราจรบ้านเขาก็ยังมีความเป็นระเบียบและมีระบบในตัวของมันเอง ซึ่งแตกต่างจากการจราจรบ้านเราอย่างสิ้นเชิง วันนี้เราจะพาคุณไปดูกันครับว่า ความต่างของการจราจรบ้านเขากับบ้านเรามีความต่างกันอย่างไรบ้าง 1. ผลิตรถมากเป็นอันดับต้นๆ แต่แทบไม่มีรถติดเลย ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีการผลิตรถและส่งออกรถติดอันดับโลก แต่ใครเลยจะรู้ว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่แทบจะไม่มีรถติดเลยในแต่ละวัน ซึ่งบางวันอาจจะมีบ้าง คิดเป็นเกณฑ์มาตราฐานในหนึ่งอาทิตย์แทบไม่ถึง 15% ด้วยซ้ำ ต่างจากของไทยบ้านเราที่ติดเป็นว่าเล่น นั่นก็เป็นเพราะรูปแบบการวางโครงสร้างถนนของเขามีแบบแผนมากกว่าบ้านเรานั่นเอง 2. บางเมืองมีจักรยานมากกว่ารถยนต์เสียอีก คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะรนณรงค์เรื่องการขับขี่และการจราจรตั้งแต่เด็ก รวมไปถึงการปลูกจิตสำนึกและการลดปริมาณก๊าสมลพิษด้วย คนญี่ปุ่นจึงหันมานิยมใช้จักรยานกันมากกว่าใช้รถยนต์หรือ มอเตอร์ไซเสียอีก ดังนั้นเราจึงมักจะเห็นคนญี่ปุ่นขี่จักรยานหรือมีจักรยานจอดอยู่ตามริมทางเต็มไปหมดเลย 3. เสียงรถยนต์ห้ามดังเกินกว่ากำหนด บ้านของเขาจะไม่นิยมเบิ้ลเครื่องหรือทำเสียงดังเหมือนกับบ้านเรา เพราะทางญี่ปุ่นมีมาตราการจับคนที่ทำเสียงก่อกวนชาวบ้าน ซึ่งโทษทางกฏหมายก็ปรับแรงไม่ใช่น้อย 4. นอกจากดังแล้ว ความเร็วก็ต้องจำกัด การจำกัดการเร่งเครื่องยนต์ของญี่ปุ่นมีอัตรากำหนดที่ตายตัว ส่วนนี้ก็เนื่องด้วยจากภาวะประชากรที่หนาแน่นและเดินข้ามถนนมากมายในแต่ละวัน ดังนั้นแล้วเพื่อความปลอดภัยและลดความประมาทในตัวคนขับทางญี่ปุ่นจึงออกกฏให้มีการขับอยู่ภายใต้ความเร็วที่กำหนดไว้ในแต่ละพื้นที่ 5. ถ้าชนใครเมื่อไหร่ โดนค่าปรับบานแน่นอน ประเทศญี่ปุ่นมีความจริงจังเรื่องความประมาทมาก โดยหากใครที่ขับรถไม่ระวังและชนคนเข้าล่ะก็ ผู้ชนจะต้องออกค่ารักษาคู่กรณีหรือชดใช้ค่าเสียหายของคู่กรณีนั้นๆให้จนครบ รวมไปถึงจ่ายค่าปรับที่แพงแสนแพง และไหนยังจะต้องงดใช้ใบขับขี่อีกเป็นระยะเวลา 3-5 ปี แล้วแต่สถานการณ์ไป ทั้งนี้ไม่ว่าคู่กรณีจะยินยอมให้ไม่ต้องชดใช้ทุกอย่างก็ได้ แต่กฏหมายจะต้องบังคับให้คนๆนั้นจ่ายชดใช้จนกว่าจะหมด
Read More